นโยบาย “ปฏิรูปโครงสร้าง”
1. พ.ร.บ. อากาศสะอาด “คืนลมหายใจ คืนอากาศสะอาด”
ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวตามที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ โดย นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเกิดการบูรณาการอย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ เกิดผลเป็นรูปธรรมและเท่าทันต่อเหตุการณ์ จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) เร่งรัดเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดต่อ ครม. โดยเร็ว
ทั้งนี้ พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ โดยได้กำหนดให้มีคณะกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายและเชิงวิชาการ และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ กำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดที่ครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ รวมถึงมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเชิงพื้นที่ ตลอดจนการมีเครื่องมือหรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ รวมถึงประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมรับผิดชอบ และมีบทบาทหน้าที่ในการควบคุม ปรับลด และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศร่วมกัน
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. คณะกรรมการเพื่อการจัดการอากาศสะอาด กำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเชิงนโยบายและเชิงวิชาการ และการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ดังนี้
1.1 คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด
1.2 คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด
1.3 คณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด
2. ระบบการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดของประเทศ
3. มาตรการการลดและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด
4. เขตเฝ้าระวังและเขตประสบมลพิษทางอากาศ
5. เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออากาศสะอาด
6. ความรับผิดทางแพ่งและบทกำหนดโทษ
2. พ.ร.บ. การประมงฉบับใหม่ “ชุบชีวิตประมง ไทยคืนชีวิตให้ชาวประมง”
• รัฐบาลมีนโยบายพลิกฟื้นอุตสาหกรรมประมงไทยให้กลับมาเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ
และประชาชนอีกครั้ง โดยมุ่งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสม
เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลอย่างยั่งยืน และเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง ทั้งชาวประมงพื้นบ้านและชาวประมงพาณิชย์ โดยเฉพาะกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ
ที่มีผลกระทบต่อชาวประมง เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้พี่น้องเกษตรกรชาวประมงให้สามารถ
ทำอาชีพประมงได้อย่างยั่งยืน รวมไปถึงการรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทยให้มีผลผลิตได้อย่างยั่งยืน
• (31 ก.ย. 66) มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาประมงทะเล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ โดยมีเจตนารมณ์ในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นฟูการประมงทะเลเพื่อความยั่งยืน
• ความคืบหน้า 3 ประเด็นหลัก
- ทบทวนการดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติชุดเดิมจำนวน 8 ชุด เพื่อปรับเปลี่ยนกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการ แก้ไขปัญหาการประมงทะเล เพื่อฟื้นฟูการประมงและอุตสาหกรรมการประมง (IUU-ประมง) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 6 คณะ ประกอบด้วย
1. คณะอนุกรรมการ ปรับปรุงแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560
2. คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับภาคการประมง
3. คณะอนุกรรมการด้านการเจรจากับองค์กรระหว่างประเทศและต่างประเทศ
4. คณะอนุกรรมการจัดระเบียบการประมงทะเล และการฟื้นฟูทะเลและ
อุตสาหกรรมต่อเนื่อง
5. คณะอนุกรรมการช่วยเหลือ ชดเชย ความเสียหายในภาคประมง
6. คณะอนุกรรมการศึกษาและพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ทั้งนี้ การดำเนินการของคณะอนุกรรมการด้านการเจรจาฯ มีหน้าที่ไปเจรจากับทางสหภาพยุโรป หรืออียู เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการทำการประมงของไทยในภาคเศรษฐกิจในเวทีโลก
- การดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน เร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำการประมงและดำเนินโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลอย่างยั่งยืน โดยให้ดำเนินการชดเชย เยียวยา ในการซื้อเรือที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาประมง IUU และยังไม่ได้ดำเนินการ ให้เร่งรัดดำเนินการให้เสร็จสิ้นด้วย
• สนับสนุนและปรับกลไกการทำงานแก้ไขปัญหาให้ชาวประมง ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายลำดับรองเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและบริบทในการทำการประมงในปัจจุบัน
• ให้ความสำคัญกับชาวประมงพื้นบ้านโดยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการประมงทะเลและพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อฟื้นฟูการประมงไทยให้มีความยั่งยืน สร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวประมง
• ปัจจุบันภาคประมงไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าประมงกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี เป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงมากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กลุ่มอาเซียน และจีน
3. เดินทางปรับปรุงกฎหมาย 4 ด้าน อำนวยสะดวกการลงทุน ยกระดับประเทศ
• รัฐบาลให้ความสำคัญและเตรียมผลักดันการปรับปรุงกฎหมายสำคัญ 4 ด้านเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่เป็นข้อจำกัดอุปสรรค จึงได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อพิจารณาประเด็นสำคัญที่จะนำมาปรับปรุงกฎหมายก่อน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และเกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นสำหรับการปรับปรุงกฎหมายจาภาคเอกชนและภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมด้วย
• โดยกำหนดประเด็นสำคัญ 4 ด้านในการปรับปรุงกฎหมายระยะแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับนานาชาติ โดยมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 คณะในการดูแลรับผิดชอบในแต่ละประเด็น ประกอบด้วย
- ด้านการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ : มีศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ เป็นประธานอนุกรรมการ เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตทำงาน การรายงานตัว การยกเว้นใช้แบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (ตม.6) ให้ครอบคลุมถึงพาหนะทางบกและทางเรือ การดำเนินการที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหรือการเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร และการทำงานของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ
- ด้านการพัฒนารับบการอนุญาตหลัก (Super License) : มีนางสาวเพียงพนอ บุญกล่ำ เป็นประธานอนุกรรมการ เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขอรับอนุญาตในประเภทธุรกิจที่มีความสนใจในการลงทุนประกอบธุรกิจแต่มีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ให้สามารถใช้ใบอนุญาตหลักเพียงใบเดียวประกอบธุรกิจได้ โดยจะเร่งดำเนินการใน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การประกอบกิจการร้านอาหาร
2. การประกอบธุรกิจที่พักขนาดเล็ก ส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
3. การขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
- ด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ : มีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ เป็นประธานอนุกรรมการ เกี่ยวข้องกับ 2 ประเด็น ได้แก่
1. การนำเข้า-ส่งออกสินค้า เพื่อลดข้อจำกัดและระยะเวลาของผู้ประกอบการ เช่น การลดการเปิดตรวจสินค้าถ่ายลำ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงกฎหมายศุลกากรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประเภทของสินค้านั้น
2. การขออนุญาตนำสินค้าเข้า-ออกเพื่อการแสดงสินค้าและนิทรรศการ (MICE) โดยจะช่วยดึงดูดให้มีการนำเข้าส่งออกสินค้าผ่านประเทศไทยจำนวนมากขึ้น
- ด้านการผลักดันพลังงานสะอาด (Clean Energy) : มีนายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา เป็นประธานอนุกรรมการ เกี่ยวกับการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนพลังงานชาติ และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน
• ภายในเดือนธันวาคม เปิดรับฟังความคิดเห็นของกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความรอบคอบและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในการปรับปรุงกฎหมาย พร้อมทั้งกำหนดที่จะหารือร่วมกับหอการค้าสหภาพยุโรป และหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประโยชน์ในการทำงานของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
• คาดว่าภายในปลายเดือนมกราคม 2567 จะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วน รอบด้าน และสามารถที่จะกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการเพื่อให้มีความชัดเจนต่อไปได้
4. ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายให้การรับรองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากสภาพสังคมในปัจจุบันที่มีคู่รักเพศเดียวกันอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวจำนวนมาก โดยขาดเครื่องมือทางกฎหมาย ในการจัดการความสัมพันธ์ทางครอบครัว ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อครอบครัวหลากหลายทางเพศหลายประการ เช่น สิทธิในการตัดสินใจในการรักษา พยาบาล สิทธิในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน สิทธิในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน และสิทธิในการรับมรดก
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงยุติธรรมเสนอเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยกำหนดให้บุคคล 2 คน ไม่ว่าเพศใดสามารถทำการหมั้นหรือสมรสกันได้ แก้ไขคำว่า “ชาย” “หญิง” “สามี” “ภริยา” และ “สามี ภริยา” เป็น “บุคคล” “ผู้หมั้น” “ผู้รับหมั้น” และ “คู่สมรส” เพื่อให้มีความหมายครอบคลุมคู่หมั้น หรือคู่สมรส ไม่ว่าจะมีเพศใด รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นมีสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง สรุปสาระสำคัญ 5 เรื่อง ดังนี้
- เหตุการณ์เรียกค่าทดแทนเนื่องจากผิดสัญญาหมั้น กรณีที่คู่หมั้นไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ให้ครอบคลุมกรณีที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่ง ไปมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศใด กำหนดให้คู่หมั้น ฝ่ายหนึ่งอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตน หรือผู้ซึ่งกระทำกับคู่หมั้นของตนเพื่อสนองความใคร่ของผู้นั้น หรือคู่หมั้นของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น
- การกำหนดอายุขั้นต่ำในการจดทะเบียนสมรส การสมรสจะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีมีเหตุอันสมควรศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้
- เงื่อนไขแห่งการสมรสใหม่ กำหนดให้หญิงที่ชายผู้เป็นคู่สมรสตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทำการสมรสใหม่กับชายได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่
1. คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น
2. สมรสกับคู่สมรสเดิม
3. มีใบรับรองแพทย์ประกาศนียบัตรหรือปริญญาซึ่งเป็นผู้ประกอบการ รักษาโรคในสาขาเวชกรรมได้ตามกฎหมายว่ามิได้มีครรภ์
4. มีคำสั่งของศาลให้สมรสได้
- การเพิกถอนการสมรส (ในกรณีมิได้มีการขอเพิกถอนการมรส ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส) กำหนดให้กรณีถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนบุคคลทั้งสองมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรือในกรณีการสมรสระหว่างชายหญิงเมื่อหญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส
- เงื่อนไขที่ทำให้การเพิกถอนการสมรสสิ้นสุด กำหนดให้สิทธิขอเพิกถอน การสมรสเป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือในกรณีการสมรสระหว่างชายหญิงเมื่อหญิงมีครรภ์
ความแตกต่าง
สำหรับความแตกต่างเมื่อเทียบสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม กับ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต นั้นมีความแตกต่างกัน คือ พ.ร.บ.คู่ชีวิต จะเป็นการรับรอง ชายแต่งกับชาย หรือ หญิงแต่งกับหญิง แต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันได้แต่ไม่รับรองเรื่องของสิทธิตามกฎหมายของคู่สมรสนั้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีชายกับชายเป็นสามีภรรยากัน หากใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิตไป กฎหมายปกติถ้าเป็นชายกับหญิงคู่สมรสจะได้สิทธิทางกฎหมาย อาทิ มรดก สิทธิต่าง ๆ แต่ พ.ร.บ.คู่ชีวิตจะไม่ได้ แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็น พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมแล้วแม้ว่าจะเป็นหญิงกับหญิง หรือ ชายกับชาย ถือเป็นคู่สมรสที่จะได้สิทธิของคู่สมรสจากเดิมที่เป็นสามีภรรยากันอย่างไร
คู่สมรสตาม พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้ก็จะได้เหมือนกับคู่สมรสที่เป็นชายกับหญิงเหมือนกัน
ซึ่งหลังจากครม. ได้รับรองร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อใช้รับรองการเรื่องสมรสเท่าเทียม แล้วจะส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
5. ยกร่าง พ.ร.บ. ภาพยนตร์และเกม ฉบับใหม่ ลดอำนาจรัฐ ส่งเสริมผู้ประกอบการ
• (26 พ.ย.66) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์เเละเกม ฉบับใหม่ ว่าปัจจุบันกระทรวงวัฒนธรรมได้ยกร่างกฎหมายไว้เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว เพื่อปรับปรุงเเก้ไขให้ทันสมัย เน้นการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการมากกว่าการสร้างอุปสรรคในการผลิตงานภาพยนตร์ เเละงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการประกอบกิจการทางธุรกิจ
• ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะมุ่งเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการภาพยนตร์เเละเกม และยังคงมาตราฐานในการคุ้มครองเด็กเเละเยาวชนในการเสพสื่อภาพยนตร์ เเละเกมไว้
• ในส่วนของสาระสำคัญ ภาครัฐจะไม่มีอำนาจในการสั่งให้ผู้ผลิตเเก้ไขหรือตัดทอนเนื้อหาของภาพยนตร์เเละเกม รวมถึงการสั่งเเบนห้ามฉายด้วย แต่จะสนับสนุนให้นำระบบการจัดเรตมาให้ภาคเอกชนรับรองตนเองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดร่วมกัน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนสร้างสรรค์ผลงาน ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการสร้างเครื่องมือให้คำเเนะนำเเก่ผู้รับชม เเละผู้ปกครองในการดูเเลเด็กเเละเยาวชน ซึ่งรัฐจะควบคุมเท่าที่จำเป็น
• เพื่อไม่ให้เกิดการซับซ้อนในอำนาจหน้าที่ระหว่าง พ.ร.บ. ของ THACCA ที่กำลังจะมีขึ้น ร่างกฎหมายดังกล่าวจะต้องพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องของขอบข่ายอำนาจหน้าที่ รวมถึงการดูเเลเเละส่งเสริมในเรื่องเกม ยังเป็นเรื่องที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคมจะต้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับภารกิจในเรื่อง ‘เกม’ ว่าใครจะเป็นผู้ดูเเล เพื่อให้เกิดความชัดเจนในภารกิจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ นำไปสู่กระบวนการออกกฎหมายต่อไป