(ธ.ค.66) รัฐบาลเศรษฐา จากนโยบายสู่การลงมือทำจริง 90 วัน "เพิ่มรายได้"

นโยบาย “เพิ่มรายได้”

1. กระตุ้นการท่องเที่ยว วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน/คาซัคสถาน/อินเดีย/ไต้หวัน (ไม่เกิน 30 วัน) รัสเซีย (ไม่เกิน 90 วัน) 
รัฐบาลไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน และชาวคาซัคสถาน โดยพำนักในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
•    ครม. (13 ก.ย.66) เห็นชอบ ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง สัญชาติจีน และ สัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว (ไม่ต้องขอวีซ่า) ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยให้สามารถเข้ามาท่องเที่ยวและพำนักในราชอาณาจักรไทยได้ “ไม่เกิน 30 วัน”
•    กระทรวงการต่างประเทศได้สนองตามนโยบายรัฐบาลโดยเสนอการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน ให้สามารถเข้ามาและพำนักในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นกรณีพิเศษ และเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงระดับประชาชน รวมทั้งมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถาน โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566
•     มาตรการดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวคาซัคสถานที่จะเดินทางมาไทยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะสามารถเดินทางมาไทยได้โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (ไม่ต้องขอวีซ่าจึงไม่มีค่าธรรมเนียม) และเป็นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามนโยบายรัฐบาล
•    เนื่องจาก แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้ว นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายหลักของไทย ยังมีเพียงประมาณ 2 ล้านคน ห่างจากเป้าหมาย 4.3 ล้านคน ส่วนนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถานเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดใหม่ ปีนี้เดินทางมาไทยประมาณ 100,000 คน การยกเว้นการตรวจลงตราเป็นการชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
•    ที่ประชุม ครม. (31 ต.ค. 66) เห็นชอบยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรี เพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ คือ“สาธารณรัฐอินเดียและไต้หวัน” เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว โดยให้อยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน มาตรการนี้จะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 – 10 พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 6 เดือน
•    จากสถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวจากอินเดียและไต้หวัน พบว่า ตั้งแต่เดือน มกราคม – กันยายน 2566 มีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางเข้าไทย 1,162,251 คน และคาดว่าภายในสิ้นปี 66 จะเดินทางเข้าไทยอีกประมาณ 1.55 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวอินเดียใช้จ่ายประมาณ 41,000 บาท/การมาท่องเที่ยว 1 ครั้ง ขณะที่ไต้หวัน ใช้จ่ายประมาณ 43,000 บาท/การมาท่องเที่ยว 1 ครั้ง คาดว่าภายในปี 66 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยประมาณ 700,000 คน
•    ครม. (วันที่ 16 ต.ค. 66) เห็นชอบ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาตราการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเชีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว โดยขยายระยะเวลาการพำนักในไทยของชาวรัสเซียในประเทศไทยจาก 30 วัน เป็น 90 วัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 เพื่อช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล
•    จำนวนนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่ขอรับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวช่วงระยะเวลาดังกล่าว เฉลี่ยประมาณ 10,000 คน ในการนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 29 ล้านบาท แต่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
2. ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ป.ตรี 18,150 บาท ภายใน 2 ปี
ครม. มีมติเห็นชอบการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการแล้ว โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 10% เป็นระยะเวลา 2 ปี ในปีงบประมาณ 2567 - 2568 คาดว่าจะเริ่มต้นการขึ้นเงินเดือนงวดแรกได้ภายหลังจากงบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ 1 พ.ค. 2567
แนวทางการปรับเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้สรุปผลการประชุมร่วม 4 หน่วยงาน สำนักงาน ก.พ. 
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณซึ่งได้ข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็น “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” รวมไปถึงลูกจ้างรัฐ ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี การปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 2 ครั้ง ให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุในปีที่ 1 และปีที่ 2 โดยปรับเงินเดือนชดเชยในแต่ละปีให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับราชการก่อนวันที่อัตรา
แรกบรรจุที่กำหนดใหม่มีผลใช้บังคับอย่างน้อย 10 ปี
อัตราเงินเดือนข้าราชการใหม่
การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ทยอยปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิเพิ่มขึ้น (ทุกคุณวุฒิ) ในอัตราร้อยละ 10 ภายใน 2 ปี มีรายละเอียด ดังนี้

วุฒิการศึกษา ปวช. 
-    ปัจจุบัน 8,400 - 10,340 บาท 
-    ปีที่ 1 ปรับเพิ่มเป็น 10,340 - 11,380 บาท 
-    ปีที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 11,380 - 12,520 บาท
วุฒิการศึกษา ปวส. 
-    ปัจจุบัน 11,500 - 12,650 บาท 
-    ปีที่ 1 ปรับเพิ่มเป็น 12,650 - 13,920 บาท 
-    ปีที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 13,920 - 15,320 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาตรี 
-    ปัจจุบัน 15,000 - 16,500 บาท 
-    ปีที่ 1 ปรับเพิ่มเป็น 16,500 - 18,150 บาท 
-    ปีที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 18,150 - 19,970 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาโท 
-    ปัจจุบัน 17,500 - 19,250 บาท 
-    ปีที่ 1 ปรับเพิ่มเป็น 19,250 - 21,180 บาท 
-    ปีที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 21,180 - 23,300 บาท
วุฒิการศึกษา ปริญญาเอก 
-    ปัจจุบัน 21,000 - 23,100 บาท 
-    ปีที่ 1 ปรับเพิ่มเป็น 23,100 - 25,410 บาท 
-    ปีที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 25,410 - 27,960 บาท
ทั้งนี้ ยังเห็นควรปรับเพดานเงินเดือนรวมค่าครองชีพชั่วคราว จากเดิมเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 13,285 บาท เป็นเงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 14,600 บาท และปรับเพดานขั้นต่ำของเงินเดือนรวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว จากเดิม เดือนละ 10,000 บาท เป็น เดือนละ 11,000 บาท และปรับเงินเพิ่มการครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ
ขั้นต่ำ จากเดิม 10,000 บาท เป็น 11,000 บาท
ส่วนกลุ่มข้าราชการที่บรรจุเข้ามาก่อน 1 - 2 ปี ที่การปรับฐานเงินเดือนใหม่จะเริ่มต้นขึ้นนั้น จะมีการพิจารณาการปรับฐานเงินเดือนขึ้นมาใหม่ให้มากขึ้นกว่าข้าราชการบรรจุใหม่ที่ได้เงินเดือน 18,000 เล็กน้อย เพื่อให้มีช่องว่างระหว่างเงินเดือนของข้าราชการเดิมที่เพิ่งเข้ามาก่อนหน้าไม่นานและข้าราชการบรรจุใหม่ด้วยทั้งนี้ ข้าราชการระดับผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้อำนวยการในระดับซี 9 จะไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนเพราะมีฐานเงินเดือนที่สูงอยู่แล้ว

3. ผลักดันกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) เป็นการกระตุ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เข้าถึงทุกพื้นที่ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท ให้กับประชาชน ที่เข้าเงื่อนไข ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลดีต่อประเทศใน 2 ด้าน คือ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในระยะสั้นผ่านการบริโภค และการลงทุน และการวางโครงสร้างพื้นฐาน
เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
ในระยะยาว
ความคืบหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยดิจิทัลวอลเล็ต
ล่าสุด (4 ธ.ค. 66) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) จ.หนองบัวลำภูแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้าน โครงการเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท และโครงการ อีซี่ อี-รีซีท (easy e-receipt) ซึ่งทั้งสองโครงการจะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 6 แสนล้านบาทในปี 2567  
อัปเดตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้าน 
สำหรับความคืบหน้าของการออกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้าน เพื่อแจกผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 1 หมื่นบาท นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุม ครม.สัญจรว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ส่งหนังสือสอบถามเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เสนอไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันยังไม่ได้ร่างกฎหมาย แต่เป็นเพียงการส่งคำถามในการออกกฎหมายไปยังกฤษฎีกาเท่านั้น ทั้งนี้ หากคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบ จะเข้าสู่กระบวนการยกร่างพระราชบัญญัติต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่มาก เนื่องจากมีกฎหมายการเงิน
ที่เกี่ยวข้องไม่กี่มาตราเท่านั้น
•    ครม.สัญจรเห็นชอบโครงการ อีซี่ อี-รีซีท (easy e-receipt) เดิมชื่อชื่อโครงการ อี-รีฟันด์ 
(e-Refund) ที่ให้ประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องชำระภาษี ไปจับจ่ายใช้สอยในวงเงิน 5 หมื่นบาท กับร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษี/ใบรับ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบ e-Tax Invoice & e-Receiptกำหนดระยะเวลาใช้จ่าย 45 วัน โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567 
•    ผู้ที่เข้าร่วมโครงการสามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งหากคิดบนฐานภาษี 7 หมื่นบาทต่อเดือน และได้ลดภาษี 20% ของการใช้จ่ายสูงสุด 5 หมื่นบาท เท่ากับว่าได้สิทธิลดหย่อน 1 หมื่นบาท เท่ากับเงินดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากนี้ โครงการอีซี่ อี- รีซีท ยังจูงใจร้านค้าในระบบภาษีเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากรด้วย

•    เงื่อนไขสำหรับผู้ใช้โครงการ easy e-receipt ได้แก่
-    ผู้ที่ไม่ได้เงินในโครงการ Digital Wallet 1 หมื่นบาท
-    สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ 5 หมื่นบาท ตั้งแต่เดือน มกราคม 2567 (ยื่นภาษีปี 68)
-    การซื้อสินค้าจากร้านค้าที่อยู่ในฐานระบบภาษี ที่สามารถออกใบกำกับภาษีในรูปอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น โดยนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้า-บริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
เปิดเงื่อนไขการรับเงินดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet)
1. ประชาชนคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
2. มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาท/เดือน
3. มีเงินฝาก (รวมทุกบัญชี) ไม่ถึง 500,000 บาท 
ทั้งนี้ ประชาชนที่จะได้รับสิทธิต้องผ่านเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้ง 3 ข้อ
4. ใช้สิทธิครั้งแรกภายในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากเริ่มโครงการ หากไม่ได้ใช้สิทธิที่ก็จะถูกยกเลิกสิทธิโดยอัตโนมัติ
5. เงื่อนไขในการใช้จ่าย
5.1    สิ่งที่ซื้อได้
-    สินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สำหรับอุปโภค-บริโภค ในพื้นที่อำเภอเดียวกับบัตรประชาชนที่ลงทะเบียนเท่านั้น โดยร้านค้าจะต้องลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่ขึ้นเงินได้จะต้องอยู่ในระบบภาษี 
5.2 สิ่งที่ซื้อไม่ได้
- สินค้าออนไลน์
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชา
- บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย และอัญมณี 
- ชำระหนี้ จ่ายค่าเทอม จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ
- ไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้
6. ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
7. ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เดือนเมษายน 2570 
เปิดไทม์ไลน์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต
-    พฤศจิกายน 2566 : ตีความโดยกฤษฎีกาและดำเนินกระบวนการสภา
-    มกราคม 2567 : โครงการ e-Refund
-    พฤษภาคม 2567 : โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet)
-    มิถุนายน 2567 : โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ
-    เมษายน 2570 : สิ้นสุดโครงการ

ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโครงการฯ 
1.    ประชาชนมีกำลังเงินในการใช้จ่าย ลดภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต ครอบคลุม 878 อำเภอทั่วประเทศ
2.    เพิ่มรายได้ การจ้างงาน ให้กับร้านค้าในชุมชน/ท้องถิ่น
3.    กระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว  
4.    พัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นชินกับเทคโนโลยีเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

4. ขยาย OTOP สู่แพลตฟอร์มออนไลน์
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะลงพื้นที่หารือแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน OTOP ด้วย Soft Power อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ แนะเพิ่มช่องทางการตลาด ขายผ่านออนไลน์ให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาสินค้าโอทอปเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยจะสนับสนุนให้องค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เช่น การดีไซน์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำเรื่องการตลาด ซึ่งทางรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าไทยสู่ระดับโลก โดยจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power รวมถึงขอความร่วมมือให้ทูตพาณิชย์ไทย นำสินค้า OTOP ไปเสนอในตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นการขยายช่องทางการตลาด และเชิญทูตจากประเทศต่าง ๆ เข้ามาเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สินค้าไทย เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP สู่ตลาดโลก นำไปสู่การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
ตัวแทนเยาวชน Young OTOP กล่าวว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่มีความตั้งใจสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สนใจเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นการต่อยอดให้ Young OTOP ได้รับการพัฒนาศักยภาพ สร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม โดยดึงเสน่ห์เรื่องราว ความเป็นอัตตาลักษณ์ ผลิตภัณฑ์มาสร้างสรรค์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความร่วมสมัยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสามารถแข่งขันในช่องทางการตลาดได้ อีกทั้งนำสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนของท้องถิ่นสู่สายตาชาวโลก 
โดยอยากให้รัฐบาลช่วยพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์และผู้ประกอบการ OTOP โดยนำผลิตภัณฑ์ OTOP ไปเชื่อมโยงกับเรื่องของการท่องเที่ยวชุมชน พร้อมส่งเสริมช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ตลาดสากล โดยการเปิดตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ซึ่งผู้ประกอบการขานรับนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์ OTOP ให้เป็น Soft Power ด้วย

สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้สินค้า OTOP
รัฐบาลจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในดอกเบี้ยเป็นธรรมเหมาะสม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการ พร้อมดำเนินการจัดสรรพื้นที่ในกรุงเทพฯ สำหรับเป็นศูนย์กลางในการจัดแสดงสินค้า OTOP จากทั่วประเทศโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยได้สั่งการผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้จัดสถานีรถไฟบางซื่อเป็น Department Store หรือหน้าร้านเพื่อวางขายผลิตภัณฑ์ OTOP ส่วนเรื่องของการขายออนไลน์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการจัดแพลตฟอร์มร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้ามากขึ้นแล้ว ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้ผลิตสินค้ามีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก
5. One Belt One Road เส้นทางสายไหม
•    นายกฯ เสนอ แนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในการประชุม High-Level Forum
•    นายกฯ ไทย - ปธน. จีน เน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ยกระดับความร่วมมือทุกมิติ มุ่งสู่ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568
•    วันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ East Hall มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสำคัญดังนี้ 
-    นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณต่อการต้อนรับที่อบอุ่นในการเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation (BRF) ครั้งที่ 3 ตามคำเชิญของประธานาธิบดีจีน และยินดีต่อวาระการครบรอบ 10 ปี ของข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) รวมถึงความสำเร็จในการจัดการประชุมฯ
-    นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีจีนยืนยันสานต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่มีมายาวนาน 
ตามประโยคที่ว่า  “จีน-ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” พร้อมเน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านไทย-จีน ที่ใกล้ชิด การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และมุ่งสู่วาระการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี 2568 โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญประธานาธิบดีจีนเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสที่สะดวก

ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นสำคัญต่างๆ ร่วมกัน ดังนี้

•    ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายมองว่า ความท้าทายทางเศรษฐกิจของโลก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ จึงยินดีร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างความพร้อมในการตอบสนองต่อความท้าทาย รวมถึงเห็นพ้องการเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ 
เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย รวมทั้ง นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอเกี่ยวกับโครงการ Land Bridge เชิญชวนให้มีการลงทุน ทั้งนี้ ไทยยังเห็นความสำคัญของนักลงทุนจีน ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาจีนเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับแรกของไทย 
ซึ่ง ประธานาธิบดีกล่าวว่านักลงทุนจีนก็มีความสนใจในการลงทุนใน mega project ของไทย
•    ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีมองว่าการท่องเที่ยวสามารถเป็นนโยบายที่จะสามารถดำเนินการและเกิดผลประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick win) ไทยจึงออกนโยบาย Visa Free ชั่วคราวสำหรับชาวจีน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการไปมาหาสู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ
ได้มากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจที่มีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้า ยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาผู้เสียหาย
อย่างเต็มที่ และการดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิด และให้ความสำคัญกับการดูแล
ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาการตกลงเรื่องการยกเว้นตรวจลงตราระหว่างกัน

•    ความร่วมมือด้านความมั่นคง จีนยืนยันความร่วมมือกับไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และส่งผลต่อการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ปัญหา Call Center การพนันออนไลน์ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด
 
•    ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ไทยและจีนได้หารือร่วมกันถึงแนวทางสนับสนุนซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong - Lancang Cooperation: MLC) อาเซียน-จีน และสหประชาชาติเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภูมิภาคและโลก

6. ขยายเวลาปิดสถานบริการ นำร่อง กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี
•    เปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 นำร่อง 4 จังหวัด “กทม. เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต” ย้ำการขยายเวลาเปิดสถานบริการเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
•    เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การขยายเวลาเปิดสถานบริการเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยว ไม่ใช่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว แต่ในระยะยาวถ้าเราสามารถเปิดระยะเวลาได้ยาวขึ้น พี่น้องประชาชนที่ค้าขายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือสถานบริการอย่างอื่นสามารถเปิดบริการได้มากยิ่งขึ้น โดยมาตรการนี้จะเริ่มใช้วันที่ 15 ธันวาคมนี้ โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงสถานบันเทิงที่เปิดขายแค่เครื่องดื่มมึนเมาเท่านั้น แต่ทางกระทรวงมหาดไทยจะดูแลเรื่องของการแบ่งพื้นที่และเรื่องใบอนุญาตต่าง ๆ ที่จะออกมาในอนาคต ทั้งนี้ ยังได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลประชาชนให้ข้อมูล สร้างความเข้าใจกับนโยบาย เข้มงวดเรื่องเมาไม่ขับ เพิ่มการติดตั้งกล้อง CCTV และจะต้องมีการตรวจค้นยาเสพติดในสถานบันเทิงอย่างเข้มข้น
•    ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เผยว่า ตอนนี้มีรายละเอียดประเภทของสถานบริการ ทั้งสถานบริการที่ได้รับอนุญาตและอยู่ในโซนนิ่งอยู่แล้ว จะสามารถเปิดบริการได้ถึง 04.00 น. กับร้านอาหารที่คล้ายสถานบริการที่มีเวลาปิด 24.00 น.จะหาทางให้เปิดถึง 02.00 น. เพื่อให้ทำมาหากิน แต่ขณะนี้กฎหมายอนุญาตให้ขายแอลกอฮอล์ได้ถึง 24.00 น. แต่ช่วงเวลา 24.00 น. - 02.00 น. จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้ เป็นเพียงแค่ขยายเวลาให้นั่งได้เท่านั้น 
•    ขณะที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ในส่วนของ กทม.หนึ่งในจังหวัดนำร่อง เสนอมาตรการขยายเวลาปิดสถานบริการถึงเวลา 04.00 น. แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ
-    ขั้นตอนที่ 1 จะเริ่มนำร่องสถานบริการในพื้นที่โซนนิ่งเดิม เช่น ย่านอาร์ซีเอ รัชดา เพชรบุรี ทองหล่อ และผับบาร์ในโรงแรม ที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ. โรงแรม 2547 ประเภท 4 เป็นโรงแรมที่ให้บริการห้องพัก ห้องอาหาร หรือสถานที่สำหรับบริการอาหาร หรือ สถานที่สำหรับประกอบอาหาร สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการและห้องประชุม สัมมนา มีประมาณ 35 แห่ง ซึ่งง่ายต่อการควบคุมดูแล ทั้งเรื่องยาเสพติด ความปลอดภัย ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการอยู่ก่อนแล้ว เป็นวิธีการที่ง่ายและทำได้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันใช้วันที่ 15 ธ.ค.นี้
-    ขั้นตอนที่ 2 สำรวจพื้นที่โซนอื่น ๆ ในส่วนนี้ต้องใช้เวลาเพราะมีหลายขั้นตอน เช่น ลงพื้นที่สำรวจจุด เมื่อได้จุดแล้วต้องตรวจสอบความเหมาะสม ทั้งตัวอาคาร ระบบภายในมีความปลอดภัย
ตามมาตรฐานหรือไม่ ที่สำคัญต้องสำรวจความเห็นประชาช ในพื้นที่ด้วยว่า เห็นด้วยหรือไม่ 
เพื่อไม่ให้กระทบหรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญ กว่าจะได้ข้อสรุปใช้เวลานาน เมื่อได้แล้วค่อยทยอยทำเพิ่มเติมในภายหลัง

7. ขยายเวลาการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง 
•    เปิดดำเนินการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป 
เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และเที่ยวบินที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ จากเดิมเปิดดำเนินการทำการบิน 
18 ชม. หรือตั้งแต่เวลา 06.00 - 24.00 น. 
•    สั่งการให้ ทอท. หารือร่วมกับสายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดตารางการบินให้เหมาะสม และเกิดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด และให้ดำเนินการเป็นไปตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งให้มีมาตรการในการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามที่กฎหมายกำหนด
•    มอบหมายให้ ทอท. พิจารณาจัดสรรพื้นที่ในท่าอากาศยานเชียงใหม่ เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนฯ นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
•    คาดว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย จะมีเที่ยวบินและผู้โดยสารเส้นทางระหว่างประเทศของท่าอากาศยานเชียงใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปัจจุบันมีผู้โดยสารระหว่างประเทศเฉลี่ยประมาณ 4,800 คนต่อวัน มีเส้นทางระหว่างประเทศ 20 เส้นทาง และมีเที่ยวบินระหว่างประเทศขาเข้าและขาออก (เที่ยวบินปกติ - เที่ยวบินพิเศษ) รวม 36 เที่ยวบินต่อวัน
•    การขยายเวลาการเปิดให้บริการของท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็น 24 ชม. ถือเป็นการปลดล็อคข้อจำกัดด้านเวลาที่จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว 
•    ข้อดีของการขยายเวลาเปิดให้บริการฯ :
-    เพิ่มการรองรับเที่ยวบินเส้นทางระหว่างประเทศ (ทั้งขาเข้าและขาออก) ส่งผลให้สายการบินระหว่างประเทศพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินสู่ประเทศไทย
-    อำนวยความสะดวกการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว (Ease of Travelling)
-    เพิ่มศักยภาพและความพร้อมของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มตลาดระยะใกล้/ระยะไกล มายัง จ.เชียงใหม่ ในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก
-    เป็นศูนย์กลางในการกระจายการท่องเที่ยวออกไปยังจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือ
•    พัฒนาท่าอากาศยานล้านนา อีสาน และอันดามัน
แผนพัฒนาท่าอากาศยานอันดามัน
-    (18 ก.ย. 66) สำหรับแผนพัฒนาท่าอากาศยานอันดามันนั้น เดิมเคยมีการศึกษาว่าไว้แล้วในเบื้องต้นตามแผนแม่บทที่จะพัฒนาเป็นท่าอากาศยานภูเก็ต แห่งที่ 2 บริเวณตำบลโคกกลอย จังหวัดพังงา บนพื้นที่ราว 6,000 ไร่ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการศึกษาแผนประมาณ 8 เดือน
ทั้งนี้ ภายหลังจากการศึกษาแล้วเสร็จก็จะดำเนินการในขั้นตอนออกแบบรายละเอียดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตพื้นที่ทั้งหมด วิธีการก่อสร้าง งบประมาณ และ การทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA หลังจากนั้นก็จะนำเสนอต่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาขออนุมัติดำเนินการ และนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ในส่วนขั้นตอนการศึกษา ออกแบบรายละเอียด และขั้นตอนการขออนุมัติ จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 3 ปี หลังจากนั้นจะดำเนินการในขั้นตอนเปิดประกวดราคา และดำเนินการก่อสร้างโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ปี รวมระยะเวลาในการดำเนินโครงการทั้งหมดประมาณ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2567 คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2573 – 2574
แผนพัฒนาท่าอากาศยานล้านนา
-    ทอท.มีแผนลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 ที่จะดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกับท่าอากาศยานอันดามัน แต่เชียงใหม่จะมีความยากกว่าเนื่องจากเป็นที่ดินเอกชน อาจทำให้การจัดหาที่ดินยากและล่าช้า ซึ่งพื้นที่เดิมที่เคยศึกษา คือ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ประมาณ 
5,000 – 6,000 ไร่ วงเงินลงทุนประมาณ 70,000 ล้านบาท 

8. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง
•    (12 ก.ย. 66)นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานการประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชนด้านการท่องเที่ยว เพื่อหารือมาตรการเร่งรัดการท่องเที่ยวระยะสั้น ในช่วงเดือนกันยายน 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยในที่ประชุมได้หารือเพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยได้กำหนดแนวทางการอำนวยความสะดวกในด้านการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย (Ease of Travelling) ร่วมกับมาตรการการดูแลและรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับการส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยว และการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ (Experience Tourism) ในลักษณะการเชื่อมโยงเมืองหลักสู่การท่องเที่ยวเมืองรอง

•    นอกจากหัวเมืองหลักแล้ว รัฐบาลต้องการผลักดันให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปยังเมืองรองด้วย เพื่อการกระจายรายได้ที่ทั่วถึง เม็ดเงินจะไม่ได้กระจุกที่หัวเมืองใหญ่เพียงอย่างเดียว นายกฯ เผย ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว “กลุ่มจังหวัดเมืองรอง” พร้อมสนับสนุน เนื่องจากกลุ่มจังหวัดเหล่านี้ มีสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหารการกินที่น่าสนใจ
•    สั่งการไปถึง รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย “มาดูแลเป็นพิเศษ” และให้กำชับสำนักงานท่องเที่ยวประจำจังหวัดนั้น ๆ ดำเนินการเพิ่มศักยภาพ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดเหล่านี้ เช่น น่าน กาฬสินธุ์ สุโขทัย อยุธยาฯ เป็นต้น
•    น่านเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรม และในอดีตน่านเป็นเมืองคู่แฝดกับเมืองหลวงพระบาง ซึ่งหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก รัฐบาลจึงอยากจะผลักดันให้น่านเป็นเมืองมรดกโลกเช่นกัน เพื่อที่จะได้ดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวน่านด้วย


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar